บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
25 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
ชีวิตบนทางเดินที่สดใส







แสงเดือนเคลื่อนคล้อยลาลับขอบฟ้า
เป็นสัญญาณของวันใหม่กำลังจะเริ่มต้น
นกน้อยออกหาอาหารให้ลูกน้อยในยามรุ่งสาง
ธรรมชาติได้สร้างสมดุลให้กับสรรพสิ่งต่าง ๆ ดำรงชีพอยู่ร่วมกัน

มนุษย์ที่ยังคงมีอารมณ์ความรู้สึก
ในสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบประสาทสัมผัส
ผ่านวันคืนและกาลเวลา
สั่งสมบทเรียน บ้างพ่ายแพ้ บ้างชนะ
แต่ชีวิตก็ยังคงต้องก้าวเดินต่อไป

หลายครั้งเคยเหนื่อย หลายครั้งเคยท้อ
ไม่อยากมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้
แต่ก็จำต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
เพราะสำนึกในใจยังย้ำเตือนเสมอว่า
"อย่าได้อ่อนแอเป็นอันขาด
เราจะต้องสู้ชีวิตจนถึงที่สุด"

ครั้งหนึ่งในชีวิตที่เดินท่ามกลางป่าเขา
ดูเหมือนชีวิตได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างออกไป
ธรรมชาติ ธรรมะ ช่างเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อหลอมจิตใจ
ให้เรามีความนิ่งสงบมากขึ้น
ปล่อยวางมากขึ้นและกล้าที่จะฟันฝ่าอุปสรรค

ทางเดินข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
ล้วนอยู่ที่การมองดูตัวเราเอง
สร้างตัวเราอย่างที่เราอยากเป็น
สร้างตัวเราอย่างที่เราใฝ่ฝันเอาไว้

เวลาไม่อาจมากีดขวางความตั้งใจต่าง ๆ ของเราได้
มั่นใจ-เชื่อมั่นและลงมือทำ
ไม่กลัวล้มเหลว ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
สภาพการณ์ต่าง ๆ ข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
เป็นเรื่องภายนอก
แต่เรื่องภายในของเรานี่สิ
เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ในยามนี้มีแต่รักษากำลังใจ กำลังความคิดให้มั่น
มีเพื่อนที่รู้ใจคอยย้ำเตือนอยู่เคียงข้าง

หนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
ขอแต่เรารู้ว่าวันนี้เราอยู่ ณ จุดใดและจะไปที่ใด
นั่นแหละคือความหมายที่ดีที่สุดของชีวิต...









บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่














Create Date : 25 มีนาคม 2551
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 6:30:17 น. 9 comments
Counter : 1256 Pageviews.

 
แวะมาทักทายค่ะ


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 25 มีนาคม 2551 เวลา:7:46:10 น.  

 

ดีจังค่ะ
หนทางข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
เราต้องก้าวด้วยความมั่นใจ และไม่ท้อถอยค่ะ

แอบบ กระซิบ
เพลงเพราะนะคะ
เหมาะเชียว สำหรับค่ำคืนค่ะ


แอบบ กระซิบ 2
เรื่องภาพครบ 1 ร้อย
สงสัยจะนานเชียว
ก็แต่ละครั้งมีถูกใจ แค่ 1
รอแย่ซิ อิอิ


ฝันดีนะคะ
จุ๊บจุ๊บ


โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 25 มีนาคม 2551 เวลา:23:48:01 น.  

 
สวัสดีค่ะ..

แวะเข้ามาเชยชมดอกไม้

ที่blogอ้อมแอ้มก็มีดอกลีลาวดี

แวะเข้าไปเที่ยวซิค่ะ..

โรงพยาบาลนะ น่าเที่ยวออก..

Myspace Comments
Myspace Comments * DazzleJunction.com
ขอให้มีความสุขมากๆนะค่ะ


โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:15:52:56 น.  

 
คัดจากจิตวิวัฒน์

“หยุด” เปลี่ยน
โดย วิจักขณ์ พานิช
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 22 มีนาคม 2551

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนิตยสารฉบับหนึ่งมาขอนัดสัมภาษณ์ผู้เขียน โดยหัวข้อการสัมภาษณ์เป็นเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในแง่มุมต่างๆ ถึงขนาดที่ทางทีมงานสัมภาษณ์ได้พกถ้วยกาแฟใบเบ้อเริ่มที่มีตัวหนังสือภาษาอังกฤษสีแดงตัวโตแปะเด๋ออยู่ข้างถ้วยว่า “CHANGE” เป็นมุกเก๋ๆ ประกอบการถ่ายภาพ แม้การสัมภาษณ์จะเป็นไปด้วยดี กระนั้นผู้เขียนก็ปฏิเสธที่จะโพสต์ท่าร่วมกับถ้วยกาแฟใบเขื่องดังกล่าว เนื่องด้วยความไม่ลงรอยส่วนตัวกับคำภาษาอังกฤษที่ฉายเด่นอยู่ข้างถ้วย

ดูเหมือนทุกวันนี้ คำว่า “การเปลี่ยนแปลง” ได้ถูกนำไปใช้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขายและการตลาดของหน่วยงานและองค์กรต่างๆ กันอย่างถ้วนหน้า ไม่เฉพาะแต่แวดวงคนทำงานเพื่อสังคม นักปฏิวัติ หรือนักการเมือง เหมือนแต่ก่อน แม้แต่ในแวดวงธุรกิจ บันเทิง การศึกษา หรือสถาบันทางศาสนาเอง ต่างก็มีการตลาดที่หวังจะหยิบยื่นหนทางให้ผู้คนได้ไถลไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นจากสภาวการณ์ในชีวิตที่เป็นอยู่ อาจจะเรียกได้ว่า “การเปลี่ยนแปลง” เป็นแพ็คเกจสีสันใหม่ของคำว่า “พัฒนา” ที่ออกจะเชยและล้าสมัยไปสักหน่อยแล้วสำหรับผู้คนในยุคนี้

จิตวิวัฒน์เองก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่สนใจในเรื่องของการเปลี่ยนแปลง แม้จะยืนยันนอนยันว่าการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกด้านใน อย่างที่เรียกชื่อกลุ่มว่า กลุ่มจิตสำนึกใหม่ (new consciousness) สมาชิกในกลุ่มดูจะไม่ค่อยชอบคำว่า change แต่เลี่ยงไปใช้คำว่า transformation แทน กระนั้นเมื่อฟังไปฟังมา ก็ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าเส้นแบ่งของ “การเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ” แบบจิตวิวัฒน์นั้นมีความแตกต่างอะไรไปจากคำว่า “การเปลี่ยนแปลง” ที่เราพบได้ในคำโฆษณาของสำนักต่างๆ ที่กำลังขายสิ่งที่ตนเองทำอยู่

สำหรับในแวดวงธุรกิจ ช่วงนี้มีการฝึกอบรมฮอตฮิตติดอันดับ ที่รู้จักกันในนามแลนด์มาร์ค ฟอรั่ม (Landmark Education) อันนี้ก็น่าตื่นใจไม่น้อย เพราะเขาถึงกับโฆษณากันตัวเป้งๆ เลยว่า เขาขาย “เทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงตนเอง” ขนาดที่ว่า “ไม่พอใจยินดีคืนเงิน” ส่วนจะเปลี่ยนอย่างได้ผลอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ เพราะผู้เขียนเองไม่เคยไป ได้ยินแต่ชาวบ้านเขาพูดถึง

ส่วนในแวดวงการศึกษา ตอนนี้มหาวิทยาลัยมหิดลก็ได้ผ่านร่างหลักสูตรปริญญาโทจิตตปัญญาศึกษาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แว่วๆ ว่ามีผู้สมัครเข้าเรียนทะลุเป้าอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ เรียกเสียงฮือฮาในแวดวงการศึกษาได้อย่างถ้วนหน้า โดยตัวหลักสูตรเองก็มีชื่อเก๋ๆ ว่า “การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง” อ๊ะ เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว...ช่างตามสมัยจริงๆ

ยังไม่นับนักการเมืองทั้งหลายที่ต่างโพนทะนาสัญญาชวนเชื่อแบบขายฝันที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองและการเมืองไปในทิศทางที่ดีขึ้น แวดวงพุทธศาสนาก็ไม่น้อยหน้า ไม่ว่าจะเป็นแบบโลกๆ อย่างการสะเดาะเคราะห์ ดูหมอ ทำนายโชคชะตา ปัดรังควาน แก้กรรม ผูกดวง จนถึงแบบเข้าท่าขึ้นมาหน่อย อย่างการเข้าวิปัสสนากรรมฐานห้าวันเจ็ดวัน ดูแก้ว ดูจิต ดูกาย ฯลฯ ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกกำลังรอการ “เปลี่ยนแปลง” “เปลี่ยน” “เปลี่ยน” “เปลี่ยน” บางคนก็ชี้ไปด้านนอก บางคนก็ชี้เข้าข้างใน คนนั้นบอกของฉันดีกว่า คนนี้บอกของฉันเร็วกว่า แต่ไม่ว่าจะหันไปทางใด ใครๆ ก็อยากเปลี่ยน เปลี่ยนนั่น เปลี่ยนโน่น เปลี่ยนนี่ จี้ไปที่ความพร่องและความกลัว ยิ่งสามารถหาหนทางการเปลี่ยนที่ลัดสั้น ประมาณว่า “เจ็ดวันบรรลุผล” หรือ “การันตีชีวิตเปลี่ยน” ได้นี่ยิ่งแจ๋วใหญ่ ขอให้บอกมาเถอะว่าจะต้องทำตามขั้นตอนอะไรบ้าง หนังสือ how-to ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า สำนักเกจิผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด

ผู้เขียนไม่ได้แสร้งประชดประชัน เย้ยหยันกระแสความอยากเปลี่ยนที่กำลังเกิดขึ้นในโลกสมัยใหม่ ว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไปเสียทั้งหมด แต่ในความยิ่งใหญ่อลังการของหนทางการเปลี่ยนแบบฉับพลันที่เอามาโฆษณาขายกัน ถึงขั้นพัฒนาขึ้นเป็นกระแสการเชิญชวนให้คนอื่นเปลี่ยนในแบบที่เราเปลี่ยนนั้น เราเคยได้ลองตั้งคำถามถึงความอหังการของร่องความคิดแบบนี้บ้างหรือไม่ ด้วยคำถามแบบไร้เดียงสาประมาณว่า “เปลี่ยนอะไร” “ทำไมต้องเปลี่ยน” “เปลี่ยนแล้วไง” “ใครเปลี่ยนใคร” “อะไรเปลี่ยน” เป็นต้น

แม้การไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนี่ก็เป็นปัญหาที่ใหญ่ไม่ใช่เล่น แต่ไปๆ มาๆ ความทะเยอทะยานพยายามที่จะเปลี่ยนกันเกินเหตุก็ดูจะยิ่งสร้างปัญหาให้อีรุงตุงนังหนักขึ้นไม่แพ้กัน บางทีการที่สังคมเราจะน่าอยู่ขึ้น อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการปลุกกระแสของการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เป็นอยู่ ตรงกันข้ามจุดเริ่มต้นอาจเป็นเรื่องง่ายๆอย่างการหยุดความคิดที่จะเปลี่ยน และหันกลับมารู้เนื้อรู้ตัวกับสิ่งที่เราแต่ละคนกำลังทำๆ กันอยู่ให้มากขึ้น ไม่ว่าสิ่งที่คุณเป็นมันจะน่าเกลียดน่ากลัวขนาดไหน ไม่ว่าสถานการณ์ในชีวิตของคุณจะเต็มไปด้วยความทุกข์และอุปสรรคมากเพียงไร คุณก็พร้อมที่จะยอมรับ เผชิญ และเรียนรู้กับทุกประสบการณ์ตรงหน้าตามที่เป็น อย่างไม่รีบที่จะวิ่งหนี หรือขอเปลี่ยน

คุณค่าทางจิตวิญญาณที่ยั่งยืนหาได้อยู่ที่จุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่เพียงจุดเดียวของชีวิต แต่มันจะปรากฏขึ้นให้เราสัมผัสได้อย่างจริงแท้ ก็ต่อเมื่อเราได้เห็นถึงศักยภาพภายในที่เราสามารถดำรงอยู่ในภาวะความเป็นปกติอย่างไม่สั่นคลอน อันแสดงถึงความเต็มเปี่ยมและอิสรภาพสูงสุดที่มีอยู่แล้วภายในตัวเรา เราล้มเลิกความอหังการที่จะเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงคนอื่น หรือแม้แต่เปลี่ยนแปลงตัวเองแบบฉาบฉวย ในทางตรงกันข้ามเราพร้อมและยอมศิโรราบให้กับทุกสิ่งตามที่เป็นจริง กล้าที่จะตาย และกล้าที่จะเจ็บ ยอมให้โลกเปลี่ยนแปลง สะกิด และสัมผัสหัวใจของเราอย่างไม่ขัดขืน ทุกประสบการณ์ได้ถูกหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของความกล้าหาญแห่งการเดินทางทางจิตวิญญาณอันปราศจากจุดหมาย ทุกท่วงทำนองคือการฝึกตนที่จะใช้ชีวิตอย่างสมดุลและสอดคล้องไปกับความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ จนเกิดเป็นความเข้าใจในสิ่งที่ตนเองเป็นในทุกๆ ย่างก้าวอย่างอ่อนน้อม สัมพันธ์เชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างไม่แยกขาด

และคุณค่าทางจิตวิญญาณที่ว่านั้น จะเป็นสิ่งเดียวในตัวคุณที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้และไม่สามารถถูกทำลายได้...เป็นการตื่นรู้และพร้อมตายอย่างสูงสุดจน ”หยุด” ที่จะเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง

วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2008 at ที่ 20:40 น. by knoom
ป้ายกำกับ: บทความมติชน, วิจักขณ์ พานิช | 0 ความคิดเห็น


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 27 มีนาคม 2551 เวลา:19:26:25 น.  

 
“อุดมการณ์” ไม่ใช่คำที่พูดกันพล่อยๆ
โดย ศ.สุมน อมรวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 27 ตุลาคม 2550

ในช่วงเวลาที่มีความแปรผันและความสับสนวุ่นวายทางการเมือง ขณะนี้ เราได้เห็นความพยายามของคนหลายจำพวก ทั้งที่เป็นผู้บริหารระดับสูง นักวิชาการระดับเซียน นักการเมืองรุ่นเก่าแก่ นักการเมืองรุ่นใหม่ กลุ่มการเมืองหัวก้าวหน้า กลุ่มปกป้องรักษาประชาธิปไตย ผู้คนสารพัดกลุ่มต่างก็พากันตั้งพรรคตั้งประชาคม รวบรวมไพร่พลเป็นกลุ่มใหญ่ ยึดโยงกันไว้ด้วยความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ทางความสำนึกในบุญคุณ ทางอำนาจเงิน และที่กล้าพูดออกมาก็คือ ทุกคนมาอยู่ร่วมกันเพราะร่วมอุดมการณ์เดียวกัน

น่าประหลาดใจ ที่ได้เห็นคนหมู่หนึ่งมารวมตัวกันเพราะอุดมการณ์ตรงกัน แค่เพียง ๓ วัน ๗ วัน ก็ไม่สามารถร่วมอุดมการณ์กันได้เสียแล้ว กลุ่มคนที่เคยยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยจนกล้าต่อสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลก บัดนี้ เขาก็ยังมีชีวิตอยู่และร่วมหัวจมท้ายกับคนที่ยกย่องเผด็จการ

ผู้เขียนไม่อยากให้บทความจิตวิวัฒน์ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากนัก ความประสงค์ที่แท้จริงก็คือการค้นหาคำตอบว่า อุดมการณ์คืออะไรในแง่ของชีวิตและการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม

พิจารณาจากพระโอวาทปาฏิโมกข์ซึ่งมองในด้านหนึ่งจัดได้ว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมในวันมาฆบูชา แก่พระสงฆ์สาวก ๑,๒๕๐ รูปที่มาเฝ้าพระองค์พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พระโอวาทปาฏิโมกข์ถึงพร้อมสมบูรณ์ด้วยอุดมการณ์ หลักการคำสอน และวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาซึ่งเน้นในพระธรรมวินัย

พระคาถาบทแรกใน ๓ บทของพระโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นอุดมการณ์สูงสุดของชีวิต ว่าด้วยขันติ (ความอดทน) และนิพพาน

นิพพานไม่ใช่การเสพสุขบนสวรรค์ และผู้ที่จะเข้าถึงอุดมการณ์อันเป็นจุดหมายสูงสุด ก็สามารถบรรลุได้ในชาตินี้ ไม่จำเป็นต้องตายก่อนจึงจะไปสู่นิพพาน

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) อธิบายไว้ในหนังสือพุทธธรรม สรุปได้ว่า นิพพานเป็นจุดหมายสูงสุดในชาตินี้ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่จำกัดชนชั้นหญิงชาย เป็นภาวะที่มนุษย์สามารถประจักษ์แจ้งได้ ถ้าเพียรพยายาม ทำตัวให้พร้อมพอ ก็ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ชาวพุทธที่ต้องการบรรลุอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา จึงต้องละเว้นความชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม และฝึกพัฒนาจิตให้ผ่องใส จนเกิดภาวะทางปัญญา (คือวิชชา) ภาวะทางจิตที่หลุดพ้น เป็นอิสระ (วิมุตติ) และภาวะทางความประพฤติในการดำเนินชีวิต (กรุณา) ที่เป็นไปเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นให้พ้นทุกข์

ผู้เขียนเชื่อว่า การบำเพ็ญเพียรดับกิเลสให้ลดลงจนดับไม่เหลือนั้น เกิดผลที่ดับแล้วสว่าง เป็นความกระจ่างแจ้งที่จิตใจ ปลอดโปร่ง ใสสะอาด มีความสุขสงบประณีตอยู่ภายในตน

อุดมการณ์ไม่ใช่จุดหมายที่เกิดขึ้นและบรรลุถึงได้โดยง่าย ไม่มีใครที่ประกาศอุดมการณ์ขึ้นมาจากการประดิษฐ์ถ้อยคำอันเลิศหรู แล้วเคลือบแฝงด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ใช้อามิสหลอกล่อให้ผู้คนเป็นเหยื่อได้ชั่วครั้งชั่วคราว

ในระดับบุคคล อุดมการณ์เริ่มต้นด้วยความคิดความเชื่อในหลักการเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นความคิดที่มีแบบแผน เป็นระบบ ซึ่งเกิดจากแรงจูงใจ หรือสิ่งเร้า ทั้งที่เป็นภาพบวกและภาพลบ

อุดมการณ์เริ่มต้นจากฐานความรู้และความคิด เกิดความตระหนักในความเสื่อมและความเสี่ยงของชีวิต ความตระหนักในคุณค่าและศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ ความตระหนักและศรัทธาต่อการสร้างสันติสุขต่อส่วนรวม ความปรารถนาที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งมวล

จากความตระหนักนั้น บุคคลได้ใช้ปัญญาตริตรองอย่างลึกซึ้ง เกิดความตั้งใจ เกิดจิตสำนึกที่จะทำงานอย่างพากเพียร อดทนในวิถีทางที่เป็นสัมมาปฏิบัติ เพื่อให้ความคิดความเชื่อที่ถูกต้องนั้นสำเร็จดังประสงค์ กล้าต่อสู้อย่างเข้มแข็งแม้จะถูกต่อต้าน ขัดแย้ง ก็ไม่ยอมท้อถอย

บนเส้นทางแห่งการสร้างสมอุดมการณ์ย่อมมีผู้มองเห็นคุณค่าของการทำงานอย่างสร้างสรรค์ จึงเกิดกลุ่มคนที่คิดดี มีสัมมาทิฏฐิตรงกัน เกิดเป็นอุดมการณ์ของสังคมที่เป็นปณิธานร่วมกัน ทุกคนมีจิตอาสา เสียสละ มุ่งทำงานเพื่อส่วนรวม เสริมพลังกัน ช่วยเหลือประคับประคองกัน เพื่อก้าวไปสู่จุดหมายสูงสุดอย่างเดียวกัน

กลุ่มคนร่วมอุดมการณ์ที่แท้จริง จึงมีจิตสำนึกร่วม พร้อมที่จะเป็นผู้ให้ เป็นผู้อาสาทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ของสังคม ของมาตุภูมิ

กลุ่มคนที่มารวมกันโดยมุ่งหมายเพื่อจะเอา กอบโกยมาเป็นของตัว เพื่อประโยชน์ส่วนตัว กลุ่มคนนั้นมีอุดมการณ์จอมปลอม

เส้นทางไปสู่อุดมการณ์นั้นยาวไกล ต้องพากเพียรทำงานร่วมกันเป็นเวลายาวนาน อุดมการณ์จึงมิใช่เป็นเพียงความหวังหรือความใฝ่ฝัน แต่เป็นความคิดที่ใคร่ครวญแล้ว จิตใจตั้งมั่นแล้ว ทุกคนรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว มุ่งหน้าทำงานร่วมกันไปจนกว่าจะบรรลุจุดหมาย

แม้ว่ารายการอะคาเดมี แฟนเทเชีย จะจบไปแล้วถึง ๔ ฤดูกาล แต่แฟนคลับทั้งหลายคงจะจำเนื้อเพลงที่ AF ทั้งหลายร้องร่วมกันมานานถึง ๔ ปีได้ สร้อยเพลงนั้นได้บอกถึงความใฝ่ฝันของคนหนุ่มสาวนับพันนับหมื่นว่าชีวิตของเขาต้องการอะไร

จะไปเป็นดาวโดดเด่นบนฟากฟ้า
จะไปไขว่คว้าเอามาเหมือนใจฝัน
จะไปให้ถึงปลายทางในวันนั้น
จะเป็นคนดังที่เด่นในแสงไฟ

ผู้เขียนเชื่อว่า ความใฝ่ฝันดังกล่าวไม่ใช่อุดมการณ์ หากแต่เป็นจุดหมายใกล้ๆ ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง มิช้ามินานก็จะเปลี่ยนแปลงไป เพราะความเด่นความดังเป็นเพียงภาพมายา เงินทองที่ท่วมท้นมา ถ้าใช้อย่างขาดสติก็จะสูญหายไป ทั้งนี้เพราะขาดภาวะของวิชชา ภาวะทางจิตอิสระ และภาวะทางการุณยธรรม ดังกล่าวแล้วข้างต้น

พุทธทาสภิกขุได้เขียน “มรดกที่ขอฝากไว้” กล่าวถึงปณิธาน ๓ ประการ ควรแก่ผู้ที่เป็นพุทธทาสทุกคนถือเป็นหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่โลก คือ
๑. พยายามทำตนให้เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน
๒. พยายามช่วยกันถอนตัวออกจากอำนาจของวัตถุนิยม
๓. พยายามทำความเข้าใจระหว่างศาสนา

ในมรดกข้อสุดท้าย ท่านพุทธทาสภิกขุได้ประกาศอุดมการณ์ว่า “...ธรรมิกสังคมนิยมเป็นหัวใจของพุทธธรรม หรือของศาสนาทุกศาสนาอย่างที่ไม่มีใครมอง. ลัทธินี้มุ่งประโยชน์ร่วมกัน ทั้งของฝ่ายนายทุนและของฝ่ายกรรมกร, และของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน และแม้แต่ต้นไม้ต้นไร่ โดยถือเอาหลักแห่งการเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เป็นหลักพื้นฐาน...”

พระพรหมมังคลาจารย์ (ท่านปัญญานันทภิกขุ) มีอุดมการณ์ส่วนตัวของท่าน และได้ประกาศสั่งสอนพุทธบริษัทตลอดมาว่า “...งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน ทำงานให้สนุก มีความสุขอยู่กับงาน ชีวิตคืองานบันดาลสุข ทำเพื่อให้ ไม่ใช่ทำเพื่อเอา...”

พระคุณเจ้าได้ทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา และมีพุทธบริษัทจำนวนมากปฏิบัติธรรมตามอุดมการณ์ของท่าน

ยังมีฆราวาสจำนวนมากที่ประกาศอุดมการณ์ของชีวิตและการงาน มีผู้ศรัทธาจงรักภักดีเข้าร่วมอุดมการณ์เต็มแผ่นดิน ซึ่งผู้เขียนจะไม่ยกตัวอย่างในบทความนี้ เชื่อว่าผู้อ่านจะสามารถระบุนามได้ นับแต่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จนถึงประชาชนชาวบ้านในทุกท้องถิ่นของประเทศไทย

อุดมการณ์จึงมิได้เกิดขึ้นเฉพาะทางการเมืองการปกครองเท่านั้น อุดมการณ์ในชีวิตทั้งที่เป็นของแต่ละบุคคล และกลุ่มมวลชน เป็นอุดมการณ์ร่วม ซึ่งทำให้สังคมมีความเป็นปึกแผ่น มั่นคง สงบสุข เสมอภาค มีความสำคัญยิ่งกว่า

คนมีอุดมการณ์ในชีวิตไม่จำเป็นต้องเรืองอำนาจ เขาอาจเป็นคนเล็กๆ แต่มีจิตใจยิ่งใหญ่ ทำงานไปเงียบๆ เกิดผลงานต่อส่วนรวมยิ่งใหญ่ไพศาล

ผู้เขียนกล้ายืนยันความคิดนี้ เพราะมีพยานที่ประจักษ์ชัดจากหนุ่มสาวที่เคยเป็นศิษย์

เมื่อเขาเหล่านั้นยังเยาว์ เขาเป็นขบถหัวรุนแรงที่รังเกียจการใช้อำนาจเผด็จการ เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ทั้งชายหญิงก็ร่วมกันอาสาทำงานตามอุดมการณ์ของเขา ต้องเจ็บปวดพ่ายแพ้ในเหตุการณ์เดือนตุลาคม หนุ่มสาวกลุ่มนี้กลับเข้ามาเรียนต่อจนจบ หลังจากนั้นก็ทำงานอย่างเข้มแข็งเพื่อความอยู่รอดของสังคมไทยตลอดมา จนบัดนี้เขาเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้นำในวงการเล็กๆ

อุดมการณ์ของหนุ่มสาวเหล่านี้ เกิดขึ้น ก่อสานเป็นรูปธรรม ยังคงอยู่เป็นงานต่อเนื่องและสร้างสรรค์แบบอย่างแก่เยาวชนรุ่นต่อไป ผู้เขียนรักและประทับใจอย่างยิ่ง และเป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ต้องเขียนเรื่องนี้

คนกร้านโลกทั้งหลายที่กำลังแย่งชิงอำนาจกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกแอบวางแผนอยู่เบื้องหลัง และออกหน้าประกาศอุดมการณ์ชั่วคราวกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โปรดตรวจสอบตนเองว่ามีจิตสำนึกเพื่อบ้านเมืองจริงหรือไม่

โปรดอย่าอ้างอุดมการณ์บนฐานอำนาจและเงินตรากันเลย

อุดมการณ์ไม่ใช่คำที่พูดกันพล่อยๆ

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2007 at ที่ 12:42 น. by knoom
ป้ายกำกับ: บทความมติชน, สุมน อมรวิวัฒน์ | 0 ความคิดเห็น


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 27 มีนาคม 2551 เวลา:19:30:38 น.  

 
คัดจากคอลัมน์กายใจ



Happiness



ดร. วิมลกานต์ โกสุมาศ


God is love

ถ้าจะถามว่าอะไรเป็นพลังผลักดัน ให้สิ่งที่ทำได้ยากที่สุด ศิลปะที่งดงามที่สุด และบรรดาบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ปรากฏขึ้นในอารยธรรมมนุษย์ คำตอบย่อมต้องไม่พ้นบ่อเกิดแห่งพลังชีวิตสามประการ อันได้แก่ ความรัก การฝักใฝ่อำนาจ และความปรารถนาที่จะเข้าถึงความจริงสูงสุด

ชาวคริสต์เชื่อว่า ความรักคือปฐมเหตุที่ทำให้พระเจ้าสร้างโลก จักรวาล และความเป็นจริงทั้งหมด ซึ่งมนุษย์เรารับรู้ได้และไม่ได้ จึงมีคำกล่าวที่ว่า God is love หรือพระเจ้ากับความรักเป็นสิ่งเดียวกัน คนที่น้อมรับพระเจ้าไว้ในหัวใจ ก็คือคนที่ทำอะไร คิดอะไรด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อผู้อื่น และเมื่อใดก็ตามที่เรามีความรัก และความปรารถนาอันบริสุทธิ์อยู่ในใจ ทุกสิ่งที่อย่างที่ทำออกไปจะทรงพลัง นำมาแต่ความร่มเย็น ปราศจากอคติ การกดขี่ หรือความรุนแรง

ในทางตรงกันข้าม การกระทำซึ่งเกิดจากความกลัวหรือความต้องการที่เห็นแก่ตัว ย่อมส่งผลให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ ความเดือดเนื้อร้อนใจ ความรุ่มร้อน และความไม่ถูกต้องนานาประการ

ชาวฮินดูก็เช่นกัน พวกเขาเชื่อว่าความรักเป็นเหตุให้พระศิวะ ทรงสามารถถ่ายทอดหนทางแห่งการหลุดพ้นให้มนุษย์ได้รับรู้ ในรูปของคัมภีร์วิญญาณไภรวะตันตระ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่รวบรวมคำตอบของพระศิวะ ที่ให้กับพระนางเทวี ชายาของพระองค์ ในบทแรกของคัมภีร์ เทวีได้กราบทูลถามพระศิวะดังนี้

" โอ ศิวะท่านเอย ตัวตนที่แท้จริงของท่านคือใคร

สิ่งใดคือ จักรวาลอันเต็มไปด้วยสิ่งน่ามหัศจรรย์ใจแห่งนี้

อะไรคือเมล็ดพันธุ์ของสรรพสิ่ง

ใครเล่าเป็นผู้อยู่ ณ ศูนย์กลางของกงล้อแห่งจักรวาล

ชีวิตที่ข้ามพ้นรูปอันหลากหลายเหล่านี้ คือสิ่งใดฤๅ

พวกเราจะมีชีวิตที่ข้ามพ้นรูป นาม สถานที่ และกาลเวลา อย่างสมบูรณ์ได้อย่างไร

ขอพระองค์ทรงขจัดข้อสงสัยของหม่อมฉันด้วยเทอญ"

ชาวฮินดูเชื่อว่า คนประเภทที่จะสามารถจะเข้าใจคำตอบซึ่งพระศิวะให้กับเทวี จนสามารถเข้าถึงชีวิตที่ข้ามพ้นรูปนามได้ จะต้องเป็นบุคคลที่มีความรักอย่างลึกซึ้ง ในแบบเดียวกับที่พระนางเทวีมีต่อพระศิวะเท่านั้น

เพราะความรักในตัวของมันเองคือพลัง ที่สามารถทลายกำแพงแห่งอัตตา ทำให้มนุษย์ละวางความมีตัวตนได้อย่างสมบูรณ์ และพร้อมจะเปิดใจรับฟังความจริงสูงสุดจากพระเจ้า คำสอนของพระศิวะย่อมไม่มีความหมาย กับคนที่ไม่วางอัตตาเพื่อเปิดรับถ้อยแถลงของพระองค์

กล่าวอีกนัยหนึ่ง อัตตาคือ สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความรัก อัตตามีลักษณะคับแคบ ปิดกั้น ไม่ฟังใคร ในขณะที่ความรัก เป็นสิ่งที่เปิดกว้าง อ่อนโยน ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้ผู้ที่จะเข้าถึงความจริงสูงสุด จึงต้องเข้าถึงความรักบริสุทธิ์ ที่ปราศจากการปนเปื้อนของอัตตาให้ได้ก่อน

อันที่จริง คำว่าความรักในความหมายของคริสต์หรือฮินดู น่าจะตรงกับแนวคิดของชาวพุทธเรื่องเมตตามากกว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าชาวพุทธทั่วโลก ยึดถือพุทธพจน์ที่ว่า "เมตตาคือธรรมค้ำจุนโลก"

อย่างไรก็ตาม คนไทยใช้คำว่า "เมตตา" จากความเคยชินจนเกือบจะลืมความหมายที่แท้จริงของคำคำนี้ไปว่า "เมตตา" ไม่เพียงแต่หมายถึงความสงสารเห็นใจ แต่ยังหมายถึง ความรักและความปรารถนาดีต่อผู้อื่น และสรรพชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ซึ่งไม่คำนึงว่าเราเป็นผู้ให้ หรือมีใครเป็นผู้รับ

อีกนัยหนึ่ง "เมตตา" ก็คือรูปแบบสูงสุดของความรัก และเป็นเหตุให้ผู้รู้เกี่ยวกับเรื่องพุทธศาสนาในตะวันตกแทนที่ เมตตาว่า "loving-kindness"

ในบรรดาปราชญ์ของโลกยุคใหม่ คงไม่มีใครจะให้คำจำกัดความของความรักได้ดีเท่ากับ Erich Fromm นักจิตวิเคราะห์ชาวอเมริกัน ผู้ที่ให้ความเห็นไว้ในหนังสือชื่อ The Art of Loving ซึ่งดิฉันถูกบังคับให้อ่านสมัยเรียนปริญญาตรีว่า คนที่จะมีความรักได้จะต้องมีคุณสมบัติ 7 ประการในตน

1. วินัย

ความรักคือการให้ แต่คนเราจะทำอะไรให้ใครไม่ได้ ถ้าขาดวินัย ขาดการบังคับตนเอง ขาดความสามารถที่จะฝืนใจตนเอง เพื่อจะเอาเวลาและพลังงานเพื่อไปทำอะไรบางอย่างที่เราต้องการ คนที่ไม่มีวินัยคือคนที่เกียจคร้านแม้กระทั่งใส่ใจเรื่องของตนเองก็ยังทำไม่ค่อยจะได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องหวังว่าจะสามารถไปทำอะไรให้คนอื่น

2. สมาธิ

คนเราเวลาจะรักใคร ต้องสามารถตั้งใจฟัง ตั้งใจพูด ตั้งใจดู ให้รู้ว่า คนคนนั้นคิดอะไร รู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร มีปัญหาอะไร เพื่อให้เรา sensitive กับความรู้สึกของคนที่เรารัก ดังนั้นการเป็นคน sensitive กับความรู้สึกผู้อื่นจึงต้องการใจที่จดจ่อ หรือการมีสมาธิสูง

3. ความอดทน

ความรัก ต้องการความอดทนรอให้อีกฝ่ายเข้าใจ ให้โอกาสอีกฝ่ายได้คิด ปรับปรุงตนเอง ให้โอกาสอีกฝ่ายได้เรียนรู้ชีวิต เติบโต เป็นตัวของตัวเอง

4. ความเคารพในคนที่เรารัก

คนที่รักกันย่อมแสดงความเคารพซึ่งกันและด้วยการทำตามหน้าที่ การตอบสนองความต้องการ และการช่วยแบ่งเบาภาระของอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นความเคารพในที่นี้ จึงไม่ใช่การเคารพแบบกราบไหว้บูชา แต่คือการไม่เอารัดเอาเปรียบอีกฝ่าย ด้วยการทำตามหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์แบบ

5. ความรู้

ในที่นี้ คือ การมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เรารักอย่างแท้จริง ไม่ใช่เอาความรู้สึกของเราเป็นกรอบวัดความรู้สึกของคนอื่น อย่างเช่น พ่อ แม่ ที่รักลูก ย่อมจะต้องมีความรู้ว่าลูกของตนมีศักยภาพอะไร มีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร จะได้สนับสนุนให้เขาเรียนตามที่ใจรัก ไม่ใช่ไปบังคับให้เด็กทำอะไร เรียนอะไรตามใจพ่อแม่ไปหมด

6. การมองโลกตามความเป็นจริง

คนที่จะรักคนอื่นได้ ต้องมองโลกตามความเป็นจริง หรือที่ Fromm เรียกว่า มี objectivity จึงจะไม่เป็นคนหลงตนเอง และเอาความคิด ความรู้สึกของตนเองเป็นใหญ่เหนือความรู้สึกและความคิดของคนอื่น จะได้ไม่เกิดคำพูดที่ว่า เพราะรักจึงอยากให้อีกฝ่ายเป็นเหมือนตนเอง คิดเหมือนตนเอง

7. การมีศรัทธาในมนุษย์คนอื่น

คนที่จะรักคนอื่นได้จะต้องมีศรัทธาว่า มนุษย์เรามีศักยภาพที่จะมีเหตุผล พัฒนาตนเองให้เป็นคนดี เชื่อว่าด้วยคุณงามความดี ด้วยความรัก และความปรารถนาดี คนคนหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ ถ้าไม่มีความเชื่อเช่นนี้ มีคนที่เรารักทำอะไรผิดพลาด เราก็จะไม่สามารถให้อภัยได้

สูงสุดของพลังชีวิต

Fromm มองว่าประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่แสดงออกผ่านการเมือง ศิลปะ ดนตรี หรือสถาปัตยกรรมแสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า “สูงสุดของพลังชีวิต ก็คือ ความรัก” แต่ความรักมีหลายประเภท ตั้งแต่คับแคบที่สุดจนถึงกว้างขวางที่สุด คนที่จะมีพลังชีวิตแข็งแกร่งก็คือคนที่รู้จักมีความรักประเภทต่างๆ ที่นอกเหนือไปจาก erotic love หรือความรักระหว่างหญิงชายด้วย

ความรักประเภทต่างๆ เหล่านั้น เริ่มจาก ความรักฉันพี่น้อง หรือ brotherly love อันได้แก่ความสามารถที่จะเห็นอกเห็นใจ มีเมตตากับเพื่อนมนุษย์คนอื่นนอกเหนือจากตนเอง และที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ครอบครัว ได้แก่ ความเข้าใจว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คนอื่นก็รู้สึกเช่นกัน จะได้ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น

ความรักของแม่ หรือ motherly love คือ ความรักที่มีต่อคนที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ แบบเดียวกับความรู้สึกที่แม่มีต่อทารกน้อย ซึ่งยังต้องพึ่งพาผู้ใหญ่อยู่ฝ่ายเดียว สังคมมนุษย์จะอยู่ไม่ได้ ถ้าปราศจากความรักแบบของแม่ ซึ่งปราศจากเงื่อนไข มิฉะนั้นก็คงไม่มีใคร หรือนักการเมืองคนใด จะทำอะไรให้คนยากจน เพราะไม่มีผลประโยชน์ตอบแทน คงไม่มีสมาคมใดต้องการช่วยเด็กกำพร้า เร่ร่อน ที่ยังตอบแทนบุญคุณของใครไม่ได้ ดังนั้นความรักของแม่จึงไม่จำกัดอยู่เฉพาะสตรีเพศ แต่เป็นความรักประเภทหนึ่งที่มนุษย์อันประเสริฐทุกคนควรต้องมี

ความรักตนเอง หรือ self-love เมื่อมีแล้วจะทำให้เราไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ ง่ายๆ เมื่อมีแล้วจะรู้สึกว่า เราจะต้องเป็นคนที่ดีขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น มีความสุขมากขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น self-love จึงต่างจากความเห็นแก่ตัว หรือ selfishness อย่างสิ้นเชิง ความเห็นแก่ตัว คือ การส่งเสริมความสุขของตนเองบนความทุกข์ของคนอื่น คือ การนำความเสื่อมถอยมาสู่จิตใจ ส่วนผู้ที่รักตนเองจริงๆ นั้น จะต้องมีเป้าหมายในการพัฒนาจิตวิญญาณของตนอยู่ภายในใจโดยตลอด

ความรักความจริง หรือ love of God (God ในความหมายที่ท่านพุทธทาสแปลว่า “กฎ”) เป็นความรักในสิ่งที่เป็นสากล เป็นความรักในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม เป็นความรักในคุณค่าความเป็นมนุษย์ รักความเมตตา รักความซื่อสัตย์ รักการให้ รักธรรมชาติ และรักสิ่งใดก็ตามซึ่งจะทำให้สังคมมนุษย์ยกระดับสู่ความสงบ สว่าง และเบิกบาน ซึ่งความรักความจริงนี่เองที่เป็นที่มาแห่งพลังชีวิตรูปแบบสูงสุด ที่จะทำให้มนุษย์คนหนึ่งสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายอันทำได้ยาก รวมทั้งเสียสละเพื่อคนอื่นในสิ่งที่สละให้ได้ยาก โดยที่ใจยังมีปีติสุขหล่อเลี้ยงอยู่ได้ตลอด

...................

หมายเหตุ : บทความนี้ ดิฉันเขียนไว้เป็นสคริปท์สำหรับรายการวิทยุ New Dimensions เมื่อหลายปีมาแล้ว โดยอาศัยหนังสือ The Art of Loving ของ Erich Fromm และ The Book of Secret อันเป็นการวิพากษ์คัมภีร์ไภรวะตันตระโดยคุรุผู้เป็นอาจารย์ของ The Beatles ชื่อ OSHO


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:9:06:15 น.  

 
คัดจากจิตวิวัฒน์

ศักยภาพ-พลังของสำนึกร่วม
โดย ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 5 เมษายน 2551

ท่ามกลางวิกฤตการณ์อันซับซ้อนทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ที่โยงใยถึงกันอย่างซับซ้อน ดูประหนึ่งทุกอย่างทุกปัญหาจะนำไปสู่การล่มสลายและภัยพิบัตินานาประการของเมืองไทย เอเชีย และโลกโดยรวม ยิ่งติดตามข้อมูลข่าวสารมากๆ ทั้งกว้างและลึก ก็ดูจะทำให้คนเราหวั่นไหว มีความวิตกกังวลมากขึ้นทุกที ฤาจุดจบจะมาถึงในวันข้างหน้าอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง?

แต่ทว่า เบื้องลึกในใจคนได้เกิดการก่อตัวของกระแสสำนึกร่วมใหม่ๆ หลายประการที่อาจนำไปสู่การปรับตัวครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ สรรพชีวิต สรรพสิ่ง หรืออย่างน้อยก็เพื่อผ่อนคลายปัญหาวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่รุมเร้าอยู่ในเวลานี้ เข้าทำนอง “เมื่อมีมืด ก็มีสว่าง มีร้าย ก็มีดี”

ว่าจำเพาะสังคมไทย กระแสสำนึกร่วมเพื่อฟันฝ่าวิกฤตต่างๆ พอจะมองเห็นลีลาได้บ้างในปัจจุบัน กล่าวคือ การเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. เมื่อ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ และ ๒ มีนาคม ๒๕๕๑ แม้ฝ่ายนิยมชมชอบระบอบทักษิณจะได้เสียงข้างมากจนได้จัดตั้งรัฐบาล แต่ฝ่ายที่ใช้สติปัญญารู้เล่ห์กลต่างๆ ของทุนนิยมเผด็จการรัฐสภา และรู้ความเสียหายต่างๆ ที่เกิดจากการใช้อำนาจเกินขอบเขตเหนือวิถีประชาธิปไตยก็ขยายวงเติบโตเพื่อถ่วงดุลอย่างมีนัยสำคัญทั้งในและนอกสภา การต่อสู้กันครั้งนี้ยังไม่จบง่ายๆ คงต้องตามดูกันต่อไปว่า ระหว่างธรรมะกับอธรรม ฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ สำนึกที่อยากให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข มีความสุจริตยุติธรรม และมีความก้าวหน้าเป็นตัวของเราเอง ได้ “ผุดเกิด” และขยายวงกว้างขวางยิ่งขึ้นทุกขณะ

ในมิติเศรษฐกิจและสังคม ทุนนิยม (สามานย์) ใช้เล่ห์กลครองโลก ครองเมืองไทย ครองประเทศตะวันออก โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ดูเผินๆ คิดน้อยๆ ก็เห็นว่ากำลังเฟื่องฟู ทว่าดูให้ดี ดูให้ลึก ก็เป็นที่แน่ชัดว่า ได้เกิดภาวะวิกฤตขึ้นแล้ว โดยเฉพาะกับประเทศยักษ์ใหญ่ของทุนนิยม ด้วยเหตุปัจจัยที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซึ่งโดยภาพรวมก็กำลังวิบัติเสื่อมโทรมตามนัยของ “สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน”

ในภาวการณ์เช่นนี้ สำนึกร่วมเรื่องความสมดุล ความพอดีพองาม ในนามของเศรษฐกิจพอเพียงที่สอดคล้องกับวิถีชาวพุทธและมุสลิม และความสมดุลในธรรมชาติที่มนุษยชาติคุ้นเคยมาหลายชั่วคน ก็กำลังเจริญเติบโตในจิตใจและวัตรปฏิบัติของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเล็กคนน้อยระดับพื้นฐานที่เป็นเกษตรกรและมนุษย์เงินเดือนในเมืองที่จำเป็นต้องอยู่ให้ได้กับรายได้ที่จำกัด การผลิตและการบริโภคของคนทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าคิดเป็นทำเป็น จะพบว่าสอดคล้องกับความจำกัดของทรัพยากรที่สิ่งแวดล้อมธรรมชาติมีให้

ทั้งสิ้นทั้งปวงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกิดขึ้นและเติบโตได้ก็ด้วยพระปัญญาบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เงื่อนไขสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ คือ ความกล้าทางจริยธรรมที่จะปลีกตัวออกมาจากอิทธิพลครอบงำของทุนนิยมเบ็ดเสร็จ แล้วหันมาเข้าใจ เข้าถึง ศักยภาพและพลังสั่งสมในถิ่นฐานบ้านเมืองของเราเอง กล่าวได้โดยรวมว่า นี่คือ สำนึกร่วมที่เหมาะสมดีงามอีกประการหนึ่งที่กำลังเจริญเติบโต

จะว่าไป สังคมอื่นๆ โดยเฉพาะในโลกตะวันตกที่ไม่มีความสุข ก็มีคนใช้ปัญญาและเข้าใจข้อจำกัดของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ก็เข้าใจ “ความไม่จำกัด” ในตัณหาความต้องการของมนุษย์ คนเหล่านี้กำลังปรับใจ ปรับตัว ปรับวิถีการผลิต และการบริโภคครั้งใหญ่ ด้วยสำนึกร่วมที่ใกล้เคียงกับที่เราชาวพุทธคิดและทำอยู่ในเวลานี้มากขึ้นทุกที ยิ่งสำรวจ ยิ่งค้นคว้า ก็ยิ่งพบมากขึ้น

ที่เป็นดังนี้ นับว่าเป็นรุ่งอรุณของสำนึกใหม่ที่ดี และเป็นไปได้ว่า ในอนาคตที่พอมองเห็น ดัชนีชี้วัดความเจริญทางเศรษฐกิจสังคม อาจจะเปลี่ยนจาก GNP (Gross National Products) มาเป็น GNH (Gross National Happiness) ที่เคยถูกเย้ยหยันโดยนักเศรษฐศาสตร์และภาคธุรกิจ

ถ้าสำนึกร่วมของคนจำนวนมากมีขนาดและมีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะก่อตัวเป็นกลุ่มนำร่อง ความเปลี่ยนแปลง (Critical Mass) โดยไม่ต้องรอเสียงส่วนใหญ่ มนุษยชาติและโลกโดยรวมก็อาจอยู่รอดได้

เรื่องความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของสังคมก็เช่นเดียวกัน คอรัปชั่นระดับนโยบาย อาชญากรรมต่างๆ ยาเสพย์ติด อบายมุข การแพร่กระจายของสื่อลามก รวมถึงเล่ห์กลของบริษัทข้ามชาติที่เห็นแก่ตัว ล้วนเป็นเหตุให้เกิดสำนึกร่วมใหม่เพื่อต่อต้าน ปราบปรามความเสื่อมทรามต่างๆ เหล่านี้ มีการรวมตัวกันต่อรอง การปฏิบัติธรรม ดูแลสุขภาพกายใจ เล่นกีฬา ท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม โดยเฉพาะความเอาจริงเอาจังทางกฎหมายเพื่อปราบปรามคอรัปชั่นและอำนาจมืด การตื่นตัวและรวมกันทำอะไรดีๆ มากขึ้นเช่นนี้ บ่งบอกสำนึกร่วมอีกแง่หนึ่งที่ต้องการแก้ไขปัญหาวิกฤตต่างๆ ทางศีลธรรม จะสำเร็จมากน้อยเพียงใดก็ต้องติดตามกันต่อไป

เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของโลกโดยรวม ความรู้ความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ลึกซึ้งของสรรพชีวิต สรรพสิ่ง ตามนัยของหลักอิทัปปัจจยตา และการกระทำของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดความเสียสมดุลของธรรมชาติ ภาวะโลกร้อนและภัยพิบัติรุนแรงนานาประการที่กำลังมาแรง ทำให้เกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงร่วมกันทั่วโลก

สำนึกร่วมเพื่อความอยู่รอดของโลกใบนี้ของมนุษยชาติและของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงได้รับการปลุกเร้าอย่างกว้างขวางเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์รุนแรงทางธรรมชาติ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่กว่าเรื่องใดๆ ทั้งหมด ต้องระดมปัญญาและสติอย่างมาก

สำนึกร่วมเพื่อความอยู่รอด หยั่งรากและแพร่กระจายมากแล้ว จุดเปลี่ยนสำคัญยิ่งจึงอยู่ที่ความกล้าทางจริยธรรมที่จะปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ทางจิตวิญญาณ และการเปลี่ยนวิธีการผลิตและการบริโภคที่ไม่ทำร้ายธรรมชาติ นี่คือปัญหาใหญ่ที่ท้าทายความรู้ความสามารถและท้าทายจริยธรรมของมนุษย์ทั่วโลก บางที ธรรมะที่บ่มเพาะให้มนุษย์ลดความโลภลงให้อยู่ในระดับต่ำพอที่จะจัดการให้ยังชีพอยู่ได้โดยเคารพธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงเรามา น่าจะมีพลังที่ช่วยได้ ถ้าสำนึกร่วมนี้มีอยู่ในใจของคนจำนวนมากที่กำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ร่วมกัน

ทั้งหมดทั้งปวงที่เลือกหยิบยกขึ้นมาสาธกในที่นี้ ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ความทุกข์ทำให้เกิดปัญญาและสติ ปัญญาและสติถ้าเกิดขึ้นในใจคนจำนวนมากก็จะเป็นศักยภาพและพลังที่จะร่วมมือร่วมใจกันฟันฝ่าวิกฤตการณ์ กระแสสำนึกร่วมดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้ทั้งในลักษณะแฝงเร้น (tacit) และอย่างเปิดเผย ความสำคัญอยู่ที่ “ทราบแล้วเปลี่ยน” เปลี่ยนอะไร เปลี่ยนใจ เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนระบบการผลิตและการบริโภค เปลี่ยนระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติ และเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวันด้วยสำนึกร่วมดังกล่าวต้นและเปลี่ยนให้ทันการณ์

เวลาไม่ค่อยท่าใคร พรุ่งนี้ก็ช้าไปแล้ว

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน ค.ศ. 2008 at ที่ 18:28 น. by knoom


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 10 เมษายน 2551 เวลา:13:41:21 น.  

 



ในวาระดิถีปีสารทไทย
ขอนำชัยทุกสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์
มานิมิตดวงใจให้สดใส
ดังเช่นน้ำเย็นฉ่ำที่ชโลม
ให้หัวใจมีแต่สุขไร้ทุกข์เอ๋ย...

วันนี้คือวันสำคัญทางประเพณีและจิตใจ
ก็ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่าความกตัญญูและอบอุ่น
ที่เรามอบให้ครอบครัวที่รัก..และผู้สูงอายุค่ะ
ขอให้มีความสุขและสมหวังในสิ่งคิดทุกคนนะค่ะ
สำหรับมิตรที่ดีเสมอจากมิตรภาพด้วยหัวใจค่ะ







โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 11 เมษายน 2551 เวลา:23:35:18 น.  

 
สวัสดีครับ รักนะคนที่ทำ


โดย: นุ๊ก IP: 118.172.231.85 วันที่: 22 พฤษภาคม 2551 เวลา:19:13:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.